หลักการอ่านทำนองเสนะ
๑. ผู้อ่านต้องรู้จักลักษณะคำประพันธ์แต่ละชนิด เพื่อจะได้แบ่งวรรคตอนในการอ่านและลงจังหวะได้ถูกต้องตามลักษณะคำประพันธ์
๒. คำที่ลงสัมผัสต้องอ่านเน้นเสียงให้ชัดเจน ถ้าเป็นสัมผัสระหว่างวรรค จะต้องทอดเสียงยาวกว่าธรรมดา
๓. พยางค์ที่ใช้เกิน เช่น ตำแหน่งของคำที่ควรเป็นพยางค์เดียว แต่บรรจุคำนั้นเป็นพยางค์ต้องอ่านรวบพยางค์ให้เร็วและเน้นเสียงที่พยางค์หลัง
๔. เมื่ออ่านจะจบบท ต้องทอดเสียงและจังหวะให้ช้าลงเพื่อจบบท
๕. อ่านให้เอื้อสัมผัส อันจะทำให้เกิดความไพเราะ คำบางคำต้องอ่านเอื้อสัมผัส
๑. การเรียงลำดับพยัญชนะ
๑.๑ เรียงพยัญชนะจาก ก ฮ โดยเรียง ฤ ฤา
๑.๒. พยัญชนะต้นที่เป็นอักษรควบและอักษรนำ ถ้าจะค้นหาคำให้ดูที่พยัญชนะตัวแรกของคำเป็นหลัก
๑.๓. คำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะตามด้วยสระ จะอยู่หลังคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะแล้วตามด้วยพยัญชนะ
๑.๔. คำที่ไม่มีรูปวรรณยุกต์กำกับจะอยู่ก่อนคำที่มีรูปวรรณยุกต์
๑.๕. คำที่อยู่ในหมวดอักษรเดียวกันให้พิจารณาพยัญชนะตัวถัดไป
๒. การเรียงลำดับสระ
๒.๑. คำที่ไม่มีรูปสระกำกับจะอยู่ก่อนคำที่มีรูปสระ
๒.๒. รูปสระต่างๆจะเรียงลำดับ
๓. บัญชีอักษรย่อ
๓.๑. อักษรย่อในวงเล็บจะบอกที่มาของคำ
๓.๒. อักษรย่อหน้าบทนิยามจะบอกชนิดของคำตามหลักไวยากรณ์ เช่น
ก. = คำกิริยา
ฝ. = คำบุพบท
๓.๓. อักษรย่อในวงเล็บหน้าบทนิยามจะบอกลักษณะของคำที่ใช้เฉพาะแห่ง
๔. การเรียงลำดับคำที่เป็นนามย่อย จะจัดเรียงไว้ตามหมวดอักษร เช่น
ดุก เป็นนามย่อยของปลา จัดเรียงไว้ในหมวดอักษร ด
๕. ประวัติของคำ จะบอกไว้ท้ายคำนั้นๆโดยเขียนอักษรย่อไว้ในวงเล็บ เช่น
กรีฑา (ส) มาจากภาษาสันสกฤต
๖. การอ่านออกเสียงของคำ ในพจนานุกรมจะบอกคำอ่านไว้ในวงเล็บเหลี่ยมท้ายคำนั้นๆ เช่น
เกษตร [ กะเสด] น. ที่ดิน ทุ่งนา ไร่